Press release

ผลกระทบขนาดใหญ่ของโควิด 19 ต่อการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิค งานวิจัยของ ไอแอลโอ

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิคสั่นคลอนจากการว่างงาน ความเสื่อมถอยของคุณภาพงานและการเข้าสู่งานนอกระบบที่สูงขึ้น

Press release | Bangkok, Thailand | 18 November 2021

กรุงเทพ (ข่าวไอแอลโอ) – งานวิจัยล่าสุดของ ไอแอลโอ พบว่าการระบาดใหญ่ของโควิด 19 ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อการจ้างงานในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิค

ข้อมูลจาก 5 ประเทศ ได้แก่ บูรไน ดารุสซาลาม มองโกเลีย ฟิลิปปินส์ ประเทศไทยและเวียดนาม พบว่าคนตกงานในภาคธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวในปี 2563 มีจำนวนสูงกว่าภาคธุรกิจอื่นๆ ถึง 4 เท่า

เกือบ 1 ใน 3 ของตำแหน่งงานทั้งหมดที่สูญเสียไปมาจากภาคธุรกิจการท่องเที่ยว โดยมีการประเมินว่าเฉพาะในบรรดา 5 ประเทศดังกล่าวมีคนตกงานถึง 1.6 ล้านคน และด้วยงานจำนวนมากที่เกี่ยวข้องทางอ้อมกับภาคธุรกิจท่องเที่ยว ตัวเลขการประมาณที่แท้จริงของผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของโควิด 19 ต่อภาคธุรกิจการท่องท่องในภูมิภาคนี้น่าจะมีจำนวนที่สูงกว่านี้มาก

“ผลกระทบของการระบาดใหญ่โควิด 19 ต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยวในเอเชียและแปซิฟิคไม่ต่างอะไรไปจากหายนะ ถึงแม้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคจะให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนเป็นอย่างมากและออกแบบยุทธศาสตร์ต่างๆ เพื่อค่อยๆ เปิดพรมแดนอีกครั้ง แนวโน้มที่งานและชั่วโมงการทำงานในภาคธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวของประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิคในปีหน้าจะยังคงต่ำกว่าตัวเลขช่วงก่อนวิกฤต” ชิโฮโกะ อาซาดะ-มิยากาวา ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่และผู้อำนวยการองค์การแรงงานระหว่างประเท ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค กล่าว

สำหรับกรณีที่งานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวลดลงเล็กน้อย คุณภาพของงานกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด แรงงานหญิงได้รับผลกระทบอย่างมาก จากการเพิ่มขึ้นของแรงงานหญิงในภาคบริการอาหารและเครื่องดื่ม

การสูญเสียชั่วโมงการทำงานในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวสูงกว่าภาคธุรกิจอื่นๆ ที่เคยคาดการไว้มาก โดยขนาดของชั่วโมงการทำงานที่ลดลงมีขนาดใหญ่กว่าภาคธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว 2 ถึง 7 เท่า การสูญเสียชั่วโมงการทำงานในปี 2563 ของภาคส่วนนี้ มีตั้งแต่ร้อยละ 4 ในเวียดนาม ถึงร้อยละ 38 ในฟิลิปปินส์

นอกจากนี้ เนื่องจากงานในระบบในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวลดลง แรงงานได้ย้ายเข้าสู่งานนอกระบบเพิ่มขึ้น

แม้ว่าจะมีการเปิดพรมแดนอีกครั้ง มีการคาดการว่า ในระยะสั้น การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังคงไม่มาก จากมุมมองนี้ รัฐบาลในประเทศต่างๆ ที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะกระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายสูงสุดในการสร้างโอกาสในการจ้างงานในภาคธุรกิจที่ไม่ใช่การท่องเที่ยว

“ด้วยรายได้จากการท่องเที่ยวที่ยังคงหยุดนิ่งและด้วยงานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตมากที่สุด การระบาดใหญ่ได้ชวนให้เรา ‘คิดทบทวนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวระยะกลางและระยะยาวใหม่’ ด้วยเหตุนี้ วิกฤตจึงนำมาซึ่งโอกาสในการเชื่อมภาคธุรกิจท่องเที่ยวสู่อนาคตที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางและมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากขึ้น” นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ ไอแอลโอ และผู้เขียนหลักของงานวิจัยฉบับนี้ ซาร่า เอลเดอร์ กล่าว

“การฟื้นตัวจะใช้เวลาพอสมควร แรงงานและธุรกิจในภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจะยังคงต้องการความช่วยเหลือเพื่อทดแทนรายได้ที่สูญเสียไปและเพื่อคงไว้ซึ่งทรัพย์ต่างๆ รัฐบาลควรดำเนินมาตรการการช่วยเหลือต่อไป ในขณะเดียวกันก็ควรมุ่งมั่นเร่งฉีดวัคซีนให้ประชากรผู้มีถิ่นที่อยู่อาศัยในประเทศทั้งหมดทุกกลุ่ม รวมถึงแรงงานข้ามชาติ” ซาร่ากล่าวเพิ่มเติม

ผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจและแรงงานในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวในระดับประเทศ

  • ในฟิลิปปินส์ มีคนตกงานและชั่วโมงการทำงานลดลงโดยเฉลี่ยในปี 2563 สูงที่สุดในบรรดาประเทศต่างๆ ในเอเชียและแปซิฟิค การจ้างงานในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวหดตัวลงร้อยละ 28 (เมื่อเปรียบเทียบกับการหดตัวร้อยละ 8 ในภาคธุรกิจอื่น) และชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ยที่ร้อยละ 38 สำหรับแรงงานในภาคธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่ชั่วโมงทำงานเป็นศูนย์ต่อสัปดาห์มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 เท่า (ส่งผลกระทบต่อแรงงานจำนวน 775,000 คน)
  • ในเวียดนาม ผลกระทบเลวร้ายของวิกฤตที่มีต่อภาคการท่องเที่ยวหลักๆ คือการลดลงของค่าจ้างและการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานที่ไม่เป็นทางการ ค่าจ้างในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยลดลงเกือบร้อยละ 18 โดยลูกจ้างที่เป็นหญิงได้รับค่าจ้างลดลง เกือบร้อยละ 23 ในขณะที่จำนวนของลูกจ้างนอกระบบในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ในปี 2563 ลูกจ้างในระบบกลับมีจำนวนลดลงร้อยละ 11
  • ผลกระทบของวิกฤตต่อการจ้างงานในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยบรรเทาเบาบางขึ้น แต่การหดตัวของค่าจ้างและชั่วโมงการทำงานรุนแรงมากและงานในภาคการท่องเที่ยวหดตัว ขณะที่งานในภาคธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเริ่มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ค่าจ้างโดยเฉลี่ยในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวลดลงโดยรวมร้อยละ 9.5 เนื่องจากแรงงานในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวเปลี่ยนไปทำงานที่มีค่าจ้างต่ำกว่า เช่น กิจการบริการอาหารและเครื่องดื่ม ชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ยลดลงร้อยละ 10 ตัวเลขการจ้างงานในไตรมาสเรกของปี 2564 ต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤตในทุกธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ยกเว้นกิจการบริการอาหารและเครื่องดื่ม
  • ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวในบรูไน ดารุสซาลาม ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทั้งในแง่ของการจ้างงานที่ลดต่ำลงและชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ยที่มีจำนวนน้อยลง ซึ่งหดตัวลงมากกว่าร้อยละ 40 และเกือบร้อยละ 21 ตามลำดับ บรูไนยังเป็นประเทศที่มีความแตกต่างมากที่สุดระหว่างการเลิกจ้างในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว
  • ทำนองเดียวกัน ในมองโกเลีย การจ้างงานในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและชั่วโมงการทำงานโดยเฉลี่ยประสบปัญหาอย่างมากจากการระบาดใหญ่และหดตัวเกือบร้อยละ 17 และมากกว่าร้อยละ 13 ตามลำดับ ผลกระทบจากการจ้างงานในกลุ่มแรงงานชายในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวนั้นค่อนข้างมาก โดยลดลงประมาณร้อยละ 29